ผมร่วงมาจากหลายสาเหตุ แตกต่างกัน ต้องใช้รายละเอียดจากประวัติในการประเมินหาสาเหตุที่ทำให้ผมร่วง ซึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์ ภาวะเครียด การติดเชื้อราบนหนังศีรษะ และความผิดปกติทางอารมณ์
ที่พาเรโต้คลินิก เรามีวิธีการรักษาเส้นผมอย่างครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นยาทา, ยารับประทาน, ทรีทเม้นท์ผม, หัตถการเพื่อฟื้นฟูเพิ่มจำนวนและความแข็งแรงของเส้นผม, จนถึงผ่าตัดปลูกผมด้วยกรรมวิธีล่าสุด ทำให้เราสามารถให้การรักษาได้ทุกประเภทและทุกระดับความรุนแรงของผมร่วง ด้วยผลการรักษาที่สวยงามและเป็นธรรมชาติ
แพทย์พาเรโต้ มีประสบการณ์บริการในการรักษาผมร่วง ศีรษะล้านมามากกว่า 15 ปี จนเกิดการบอกต่อแบบปากต่อปาก ด้วยผลการรักษาที่สร้างความพอใจและและสร้างความประทับใจ |
Step 1 : Hair Loss Medication
ใช้ยารักษาภาวะผมร่วง ที่มีผลทางการแพทย์พิสูจน์และผ่านการตรวจสอบจาก FDA หรือ อ.ย. อเมริกา ว่าได้ผลในการรักษาสูงสุด
Step 2 : Hair Loss Treatment
ทรีทเม้นท์และหัตถการที่ช่วยเพิ่มสารอาหาร ออกซิเจน และเลือดไปหล่อเลี้ยงรากผมให้มากที่สุด
Step 3 : Hair Transplant
ใช้การย้ายเซลปลูกผมในการปลูกผม ด้วยเทคนิคใหม่ล่าสุด คือ Micro-Graft hair Transplant ซึ่งเป็นวิธีที่แพทย์ปลูกผม ใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก
Male Hair Loss ผมร่วงในผู้ชายมักมีสาเหตุมาจากกรรมพันธุ์ (Male Pattern Hair Loss) ซึ่งมีผลมาจากอิทธิพลของฮอร์โมนเอนโดรเจน ลักษณะมีการร่นของแนวผมด้านหน้า หรือมุมซ้ายและขวาของหน้าผาก ทำให้หน้าผากมีลักษณะคล้ายรูปตัวอักษร M
Female Hair Loss ผมร่วงในผู้หญิงที่เกิดจากกรรมพันธุ์ (Female Pattern Hair Loss) มีลักษณะต่างจากผู้ชาย ไม่มีการร่นแนวผมด้านหน้าผาก ผมบางเฉพาะด้านบนกลางศีรษะ ด้านหลังและด้านข้างจะปกติ สาเหตุส่วนใหญ่ของผมร่วงในผู้หญิงมักไม่ได้มาจากพันธุกรรม ที่พบบ่อยคือ แพ้สารเคมี ขาดสารอาหารและวิตามิน เป็นโรคโลหิตจาง โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ หรือโรคผิวหนังบางชนิด
ในผู้ชายที่มีปัญหาผมร่วงจากกรรมพันธุ์ ฮอร์โมนเพศชาย (Testosterone) ถูกเปลี่ยนไปเป็น Dihydrotestosterone: DHT ซึ่งจะไปยับยั้งกระบวนการสร้างเส้นผมปกติ ทำให้เส้นผมใหม่ที่ขึ้นมาทดแทนเส้นผมเดิมที่ร่วงไป มีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆเมื่ออายุมากขึ้น จนในที่สุดเกิดภาวะ ผมบาง และ ศีรษะล้าน ตามมา พาเรโต้วางแผนการักษาสำหรับปัญหาผมร่วงในผู้ชาย
มีวัตถุประสงค์หลักคือ
1. การยับยั้ง DHT ไม่ให้ไปทำให้รากผมอ่อนแอ
2. เพิ่มการไหลเวียนโลหิตเพื่อให้นำอาหารไปเลี้ยงรากผมให้มากขึ้น
การรักษาผมร่วงในผู้หญิง มักได้ผลดีเป็นที่น่าพึงพอใจ เพราะสาเหตุหลักไม่ได้เกิดจากกรรมพันธุ์ แต่อาจเกิดจากการสูญเสียเลือดหลังคลอด การขาดสารอาหารบางชนิด เป็นต้น การรักษาจึงเน้นเพิ่มการไหลเวียนโลหิตบริเวณหนังศีรษะ ให้นำอาหารไปเลี้ยงรากผม เพื่อทำให้เส้นผมแข็งแรง
รายงานทางการแพทย์ระบุว่า ฟิแนสเทอไรด์ทำให้ผมหยุดร่วง และ/หรือ ผมขึ้นใหม่ได้อยู่ระหว่าง 66 -88% นับเป็นยาที่ค่อนข้างปลอดภัยและได้ผลดีในการรักษาผมร่วงในผู้ชาย
ออกฤทธิ์โดยการลดระดับฮอร์โมนDHT ซึ่งเป็นตัวการทำให้เกิดภาวะ ผมบาง ศีรษะล้าน แบบกรรมพันธุ์ ทำให้ระดับของ DHT ลดลงกว่า 60 % จึงช่วยป้องกันมิให้เส้นผมมีขนาดเล็กลงและทำให้เส้นผมมีขนาดโตขึ้นด้วย เพื่อให้ได้ผลดี ควรใช้ยาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือนถึง 1 ปี เพราะหากหยุดยาเส้นผมที่งอกใหม่ และ/หรือ เส้นผมที่ควรจะหลุดร่วงไป (แต่ไม่ร่วงเพราะฤทธิ์ของยา) จะร่วงไปจนหมด
ผลข้างเคียงที่อาจพบได้ คือ ความต้องการทางเพศและการแข็งตัวของอวัยวะเพศลดน้อยลง พบได้น้อยกว่า 2 % อาการข้างเคียงจะกลับคืนเป็นปกติเมื่อหยุดใช้ยา หรืออาจหายไปได้เอง แม้ว่ายังกินยาอยู่ก็ตาม ยานี้ไม่ได้ผลในการแก้ปัญหาผมร่วงในผู้หญิง เพราะกลไกการเกิดศีรษะล้านในเพศหญิงต่างจากเพศชาย และอาจเกิดความผิดปกติของอวัยวะเพศของบุตรในครรภ์ได้ (หากรับประทานยาในขณะตั้งครรภ์)
ลักษณะของยาเป็นน้ำ มีความเข้มข้นตั้งแต่ 2-5 % ใช้ได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แต่ในผู้หญิงจะได้ผลดีกว่า
ใช้ทาที่หนังศีรษะบริเวณที่มีผมเส้นบางๆอยู่ ครั้งละ 1 ซีซี วันละ 2 ครั้ง ควรทายาให้โดนที่หนังศีรษะเพื่อการออกฤทธิ์ของยาที่ดี ควรใช้ยาติดต่อกัน อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาอย่างน้อย 1 ปี ก่อนที่จะประเมินผลการรักษา หากใช้แล้วได้ผลจำเป็นต้องใช้ยาตลอดไป หากหยุดยา ผมที่ขึ้นมาใหม่จะหลุดร่วงไป จนกลับสู่สภาพเดิม
ในบางรายอาจพบว่ามีผมร่วง มากขึ้น ในช่วงเริ่มต้น 3-5 สัปดาห์แรกของการใช้ยา เนื่องจากยาไปกระตุ้นให้ผมใหม่งอกขึ้นมา จึงดันผมเดิมให้หลุดร่วงไป ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยๆ คือ เกิดการระคายเคืองของหนังศีรษะบริเวณที่ทายา อาจมีขนขึ้นตามใบหน้า ซึ่งเมื่อหยุดยาแล้ว อาการดังกล่าวมักหายไปได้เอง
เป็นวิธีการใช้เข็มขนาดเล็ก พร้อมเครื่องมือผลักยาเข้าสู่หนังศีรษะโดยตรง ปลอดภัยและไม่ระคายเคือง ตัวยาจะเป็นกลุ่ม Hair loss control และเป็นวิตามิน Biotin, Zinc, Peptide
ผลที่ได้รับคือ
1.ป้องกันผมร่วง
2.เพิ่มการไหลเวียนของเลือดที่มาเลี้ยงหนังศีรษะ
3.ยังยั้งฮอร์โมนไฟว์อัลฟารีดักเตส
4.เพิ่มจำนวนเส้นผมใหม่
5.ช่วยในการเจริญเติบโตของรากผม
ราคา 1,500 บาทต่อครั้ง
ค่าหัวเข็ม 2,500 บาท ( ใช้ได้ 5 ครั้ง )
เป็นวิธีการฉีดยาเข้าสู่หนังศีรษะโดยตรง หลายๆจุด แพทย์จะฉีดยาเข้าไปบริเวณที่มีปัญหาผมบางผมร่วง ตัวยาที่ฉีดเป็นกลุ่ม Hair loss control ประกอบด้วย Copper Tripeptide, Adenosine Triphosphate, Zinc Sulfate, Pyridoxine HCI และ Biotin ผลที่ได้คือ บริเวณที่ผมบาง จะมีเซลล์ผมใหม่เกิดขึ้น ลดการหลุดร่วง และเพิ่มจำนวนเส้นผมใหม่ ใช่ระยะห่างในการฉีด 2-4 สัปดาห์ต่อครั้ง ควรรักษาอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 3-6 เดือน
ราคา 1,500-2,000 บาท
ปี ค.ศ. 1959 นายแพทย์นอร์แมน โอเรนไทร์ (Dr. Norman Orentreich) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง ได้ทดลองย้ายเซลล์สร้างเส้นผมจากบริเวณท้ายทอยไปปลูกยังบริเวณศีรษะล้าน พบว่าเซลล์ที่ย้ายไปยังคงสามารถสร้างเส้นผมได้เป็นปกติ และคงลักษณะของเส้นผมเดิมไว้ทุกประการ ตราบใดที่ผมตรงบริเวณท้ายทอยที่ย้ายมายังคงอยู่ ผมที่ปลูกก็จะอยู่เช่นเดียวกัน นับเป็นก้าวแรกของการปลูกผม ต่อมาการปลูกผมโดยการย้ายเซลล์ ก็ได้มีการพัฒนาด้านเทคนิคให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องกันมาเรื่อยๆ
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ได้มีวิวัฒนาการใช้กล้องจุลทรรศน์เข้ามาช่วยในการแบ่งกอผมเลียนแบบธรรมชาติ (Microscopic dissection) ผมกอหนึ่งๆ จะมีเส้นผมเพียง 1-4 เส้นเท่านั้น ทำให้ผมที่ขึ้นมาใหม่ดูเป็นธรรมชาติ เป็นที่ยอมรับและทำกันอย่างแพร่หลาย จนกลายเป็นศัลยกรรมความงามในผู้ชายที่นิยมทำกันมากที่สุด
พาเรโต้รักษาศีรษะล้านจากกรรมพันธุ์ด้วยวิธี "ปลูกผมถาวรด้วยการย้ายเซลล์ ด้วยเทคนิคใหม่ล่าสุดที่แพทย์ปลูกผมใช้กันทั่วโลก คือ Micro graft hair transplant
1. เส้นผมที่ขึ้นใหม่เป็นเส้นผมจริงของคุณเองทำให้ดูเป็นธรรมชาติ
2. ผมที่ปลูกจะค่อย ๆ ขึ้นอย่างช้า ๆ จนยากที่คนรอบข้างจะสังเกตเห็นได้
3. เมื่อผมร่วงไปแล้วก็กลับขึ้นใหม่ได้อีก และจะอยู่กับคุณไปจนตลอดชีวิต
4. ดูแลรักษาง่าย ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่ม คุณสามารถ สระผม ตัดผม ย้อมผม ฯลฯ ได้เอง หรือตามร้านตัดผมทั่ว ๆ
5. เพิ่มความมั่นใจให้คุณแม้ในยามเล่นกีฬา หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยปราศจากความกังวลใจ
แพทย์จะใช้ข้อมูลนี้ในการวินิจฉัยปัญหาผมของคุณ เพื่อที่จะได้แนะนำการรักษาที่เหมาะสมสำหรับปัญหาผมของคุณ ที่สามารถส่งให้คุณถึงบ้าน โดยคุณไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง
Hair Loss Assessment